วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หลังแบงค์ 1 ดอลล่าร์ซ่อนอะไรเอาไว้?

เชื่อว่าหลายๆท่านคงมีสัญลักษณ์, เครื่องหมายหรือเครื่องราง ไว้ในครอบครอง เพื่อคุ้มครองปกป้องตัวเองจากสิ่งไม่ดีและนำความสุขโชคดีมาสู่ตนเองและคนใกล้ชิด แต่ละคนก็จะมีความเชื่อที่แตกต่างกันไปตามสิ่งที่บรรพบุรุษของตนได้ถ่ายทอดไว้และตามสภาพสังคมสิ่งแวดล้อม นั้นย่อมแสดงว่าโดยพื้นฐานแล้ว ภายในจิตใต้สำนึกของเรายังเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติเกินขอบเขตที่มนุษย์จะหยั่งรู้ได้ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่หลายๆคนไม่ได้สังเกตหรือไม่ได้ให้ความสนใจ หากใครเคยเห็นแบงค์ 1 ดอลล่าร์ ด้านหลังจะมีอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งความโชคดี ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย

 เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมสหรัฐอเมริกา ถึงเป็นมหาอำนาจ โดยเฉพาะเงินสกุลดอลล่าร์ที่ใช้เป็นเงินสกุลหลักของโลก ทั้งๆที่ประเทศเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเพียง 200 กว่าปี กุญแจดอกสำคัญดอกนั้นคือนำสัญลักษณ์ ANNUIT COEPTIS มาใส่ไว้หลังแบงค์ 1 ดอลล่าร์ เราลองมาดูความหมายของสัญลักษณ์กันนะครับ

ปี 1782 อเมริกาออกแบบตราแผ่นดินใหม่โดยด้านหลังของตราแผ่นดินเป็น  ภาพพีระมิดสร้างไม่เสร็จ มีดวงตาอยู่บนยอดล้อมรอบด้วยภาษาละติน Novus Ordo Seclorum” (New Order Of The Ages)   ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เป็นสัญลักษณ์ของสมาคมอิลลูมิเนติ ดวงตานั้นหมายถึงสมาชิกอิลลูมิเนติกำลังจับตามอง (โลก) และ  “Novus Ordo Seclorum”    คือ New World Order หรือการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการ(ปก)ครองโลก และต่อมาในปี1935 ภาพตราแผ่นดินนี้ถูกนำมาตีพิมพ์ลงบนด้านหลังของธนบัตร 1 ดอลลาร์
ภาพธนบัตร 1 ดอลล่าร์ของอเมริกา จะเห็นว่ามีการเขียนภาษาลาติน ที่หมายถึง ระเบียบโลกใหม่
- มีรหัส 666 ที่ หมายถึง เครื่องมือหรือสัญลักษณ์ของสัตว์ร้าย
- ดวงตาของซาตานและอื่นๆมากมายไม่ต่างกับยันต์ทางไสยศาสตร์ดำเลย
ปัจจุบัน สโลแกนของการปฏิวัติสำหรับ กลุ่มอิลลูมิเนติ ในภาษาลาติน คือ"NOVUS ORDO SECLORIUM" อันซึ่งหมายถึง "A NEW ORDER FOR THE AGES" การจัดระเบียบสำหรับยุคใหม่ ซึ่งมาจาก ความรู้ทางโหราศาสตร์ เครื่องหมายบนหลังธนบัตร 1 ดอลลาร์ กับ ดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่ง (ALL-SEEING-EYE) เป็นสัญลักษณ์ของ เวทมนตร์ พบได้ในกลุ่มเมสัน (The Masons-เป็นกลุ่มที่มีแนวทางเดียวกัน)

 

เครื่องหมายอิลูมินาติ
อย่างแรก คือ Numerology  เป็นศาสตร์ทางตัวเลขซึ่งเป็นองค์ความรู้เก่าแก่จากคัมภีร์ของ พวกฮิบรู หรือ ยิว เป็นการ Code ตัวหนังสือให้เป็นตัวเลข คือการเอาตัวหนังสือซ่อนไว้ในตัวเลขนั่นเอง ชาวฮีบรูยังนำตัวเลขไปเชื่อมโยงกับ พลังจักรวาล พวกเขามิได้แยกระบบตัวอักษรกับตัวเลขออกจากกัน แต่ตัวอักษรนั้นมีพื้นฐานมาจากตัวเลข ระบบตัวอักษรถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระบบ และถูกกำหนดรูปแบบที่บอกถึงระดับที่ต่อเนื่องกันไปตามกระบวนการการพัฒนาของ จักรวาล ชื่อภาษากรีกและฮีบรูในพระคัมภีร์มีนัยสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ที่ใกล้ชิดระหว่างความหมายตามตัวอักษรและตัวเลข ในภาษากรีกดั้งเดิม คำว่า Jesusหมายถึง Iesous (ไม่มีตัวอักษร Jในตัวอักษรกรีก) ชื่อดังกล่าวมีค่าเท่ากับตัวเลข 888 ซึ่งหมายถึง จิตใจที่สูงกว่า หรือ จิตใจศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อลึกลับของกรีก จิตใจที่เกี่ยวข้องกับความตาย”  ในภาษากรีกคือหมายเลข 666 ( ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์เล่มสุดท้ายในพันธสัญญาใหม่ ว่าหมายถึง สัตว์ร้าย )


สัญลักษณ์ลึกลับกับคำขวัญ  "NOVUS ORDO SECLORUM" ที่เป็นอนุสรณ์ในการก่อตั้งของกลุ่มอิลลูมิเนติ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1776 ไม่ใช่ 4 กรกฎาคม และมันมิใช่โดยความบังเอิญ นั่นคือ นกอินทรี อันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนสำหรับ ลูซิเฟอร์ (Lucifer) ในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ฟินิกซ์ (Phoenix) และ ปัจจุบันได้ถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของ ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ทำเนียบขาว)

 






ความหมายที่ซ่อนไว้ในตราดวงนี้

  1.  ดาว 13 ดวง คือ การก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า)
  2.  อยู่ในวงกลมที่มี 28 ขีด หรือ Guide Line คือ ความเป็นนิรันดร์
  3.  ป้ายผ้า 13 ขยัก คือ การก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า)
  4.  ตัวหนังสือ E PLURIBUS UNUM หรือ “One of Many” หรือหนึ่งจากหลายๆสิ่ง
  5.  ปีกข้างซ้าย มี 32 ขนนก เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดิน กลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason) หรือ
       ฟรีเมสัน (Free Mason)ในยุโรป มี 32 ระดับ
  6.  ปีกข้างขวา มี 33 ขนนก  เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดิน กลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason) หรือ
       ฟรีเมสัน (Free Mason)ในอเมริกา มี 33 ระดับ
  7.  เส้นแนวนอน 12 เส้น บนอาร์มโล่ห์ที่หน้าอกนกอินทรีย์ หมายถึง ความเป็นรัฐบาล
  8.  เส้นแนวตั้ง 18 เส้น บนอาร์มโล่ห์ที่หน้าอกนกอินทรีย์ หมายถึง การเป็นนายทาส 
  9.  ซึ่งแบ่งได้ 6 แถบใหญ่ หมายถึง มนุษย์
10.  แถบสีแดงและขาวรวมกันได้ 13 แถบ แยกเป็น
        แถบขาว 7 แถบ หมายถึง พระเจ้า
        แถบแดง 6 แถบ หมายถึง มนุษย์ แถบแดงวางทับแถบขาว หมายถึง มนุษย์อยู่เหนือพระเจ้า
11.  กรงเล็บ 2 ข้างๆ ละ 4 รวมเป็น 8 เล็บ คือการเริ่มต้น
12.  ลูกธนู 13 ดอก หมายถึง การต่อต้านหรือปกป้องตัวเองของประชาชน
13.  ช่อมะกอกที่มี 13 ใบ หมายถึง เสรีภาพ
14.  ผลเบอรี่ 13 ผล หมายถึง ผลของเสรีภาพ
15.  ขนที่หาง 9 ขน หมายถึง ความสำเร็จ หรือบรรลุผลแล้วนั่นเอ


“Numerology”
ตัวเลขจำนวนที่ปรากฏในสัญลักษณ์บน ตราแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ปรากฏในแบงค์ 1ดอลล่าร์ US มีความหมายดังนี้
จำนวนเลข   6  หมายถึง Man คือ มนุษย์
จำนวนเลข   7  หมายถึง God  คือ พระเจ้า
จำนวนเลข   หมายถึง New Beginning คือ การเริ่มต้นใหม่
จำนวนเลข    9  หมายถึง Complete or Finish คือ การเสร็จสิ้น หรือ ความสำเร็จ
จำนวนเลข 12  หมายถึง Government and Perfection คือ รัฐบาลและความสมบูรณ์แบบ
จำนวนเลข 13  หมายถึง Rebellion คือ การปฏิวัติ หรือ การก่อกบฏ
จำนวนเลข 18  หมายถึง Bondage หรือ ความเป็นทาส
จำนวนเลข 28  หมายถึง Eternity คือ ความเป็นนิรันดร์

บนด้านหลังของธนบัตรฉบับหนึ่งเหรียญดอลล่าร์ ไม่เฉพาะตำแหน่ง ฟินิกซ์(อินทรี)  Phoenix (EAGLE) แสดงที่จุดนี้เท่านั้น, ดูที่ดาวเหนือหัวอินทรี จะมี 13 ดวง การจัดเรียงเอาไว้ไม่ใช่ความบังเอิญ นั่นคือ ดาว 13 ในกรอบหกเหลี่ยม ซึ่งประมาณได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ เวทมนตร์ปีศาจ (EVIL SIGN IN WITCHCRAFT)   อเมริกันสร้างด้วยความเชื่อว่าดาว 13 ดวงนั้น เป็นตัวแทน 13 จักรวรรดิดั้งเดิม อย่างไรก็ตามถ้าพิจารณาดูใกล้ๆ ในวงกลมล้อมรอบภาพนกอินทรีย์ (great seal of the United States) จะค้นพบว่าผู้ที่ออกแบบนี้ แสดง 13 หมายเลขอาถรรพ์  โดยเจตนาและแฝงความหมายเอาไว้  สังเกตได้จาก จำนวนครั้งที่ใช้ เลข 13 คือ

1.             กรอบหกเหลี่ยมถูกจัดเรียงโดยห้าเหลี่ยม (ดาว) 13 ดวง

2.             โล่ห์ป้องกันหน้าอกของนกอินทรีมี แถบ 13 แถบ

3.             ผลเบอร์รี่ 13 ผล บนกิ่งมะกอก ในกรงเล็บขวาของนกอินทรี

4.             ลูกธนู 13 ดอก ในกรงเล็บซ้ายของนกอินทรี

5.             ใบมะกอก 13 ใบ บนกิ่งมะกอก

จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด ผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื่อว่าการพกแบงค์ 1 ดอลล่าร์ไว้ติดตัวถือเป็นเครื่องเครื่องนำโชคอย่างหนึ่ง อันจะนำมาซึ่ง ความโชคดี ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย พวกเรามีพกติดตัวกันบ้างหรือเปล่าครับ!!!!!!!!!!

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

มหัศจรรย์ดอกเบี้ยทบต้น (ภาคต่อสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก)

ทิ้งท้ายไว้ตอนที่แล้ว ว่าถ้าทำอัตราผลตอบแทนได้ 10% ต่อปี (สำหรับผู้ที่ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดี) แล้วทุกๆ 7 ปีเงินที่เราลงทุนจะกลายเป็น 2 เท่า เรามาลองขยายความกันหน่อยนะครับ สมมุติเราจบปริญญาตรีตอนอายุ 22 แล้วเริ่มลงทุนด้วยเงิน 1,000,000 บาท มันจะเกิดอะไรขึ้น

1.               อายุ 22 ปี เงินลงทุน 1,000,000 บาท

2.               อายุ 29 ปี เงินลงทุน 2,000,000 บาท

3.               อายุ 36 ปี เงินลงทุน 4,000,000 บาท

4.               อายุ 43 ปี เงินลงทุน 8,000,000 บาท

5.               อายุ 50 ปี เงินลงทุน 16,000,000 บาท

6.               อายุ 57 ปี เงินลงทุน 32,000,000 บาท

7.               อายุ 64 ปี เงินลงทุน 64,000,000 บาท

อีกกรณีหนึ่ง ถ้าทำอัตราผลตอบแทนได้ 20% ต่อปี (สำหรับผู้มีความรู้ระดับ VI) แล้วทุกๆ 5 ปีเงินที่เราลงทุนจะกลายเป็น 2 เท่า

1.             อายุ 22 ปี เงินลงทุน 1,000,000 บาท

2.             อายุ 27 ปี เงินลงทุน 2,000,000 บาท

3.             อายุ 32 ปี เงินลงทุน 4,000,000 บาท

4.             อายุ 37 ปี เงินลงทุน 8,000,000 บาท

5.             อายุ 42 ปี เงินลงทุน 16,000,000 บาท

6.             อายุ 47 ปี เงินลงทุน 32,000,000 บาท

7.             อายุ 52 ปี เงินลงทุน 64,000,000 บาท

8.             อายุ 57 ปี เงินลงทุน 128,000,000 บาท

เห็นไหมครับก่อนเกษียณอายุการทำงานเราก็มีเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท (แล้วจะใช้ยังไงหมดหล่ะเนี้ย ชักคิดหนักแล้วซิ ขำๆ นะครับ อย่าซีเรียส) ทั้งนี้เราลงทุนโดยที่ระหว่างทางการลงทุนไม่ได้ใส่เงินลงไปเพิ่มเลยนะครับ แล้วถ้าเราเพิ่มเงินลงทุนไประหว่างทางอีกหล่ะ ยิ่งกว่ามหัศจรรย์แห่งรักเสียอีก 555
ตอนต่อไปเราลองเปลี่ยนแนวมาคุยเรื่องสัญลักษณ์นำโชคกันดีกว่า อันนี้ขอนำเสนอ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ใครรู้บ้างว่าคืออะไร?????


ในโลกแห่งการเงินไม่มีใครไม่รู้จักสิ่งนี้ ทุกคนรู้ ทุกคนเข้าใจ แต่น้อยคนที่จะทำได้ มันคือ มันคือ “พลังของดอกเบี้ยทบต้น” ถูกต้องนะครับ!! เจ้าดอกเบี้ยทบต้นในทางการเงินคือสิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่แค่ปลายจมูก แต่มักไม่มีใครทำได้ เหตุผลที่ทำไม่ได้ เพราะขาดวินัยทางการเงิน


เราลองมาดูว่าเจ้า “ดอกเบี้ยทบต้น”นี้มันมหัศจรรย์อย่างไรกันดีไหมครับ เริ่มกันเลย สมมุตินะครับ สมมุติอีกทีนะครับ (จำน้องพลับเขามา ถ้ายังจำน้องพลับขอ 2 กันได้) ว่าเรามีเงินเย็นอยู่ 1,000,000 บาท อันนี้ผมเชื่อว่าพี่น้อง VI มีมากกว่าอยู่แล้ว แล้วลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ คือลงทุนในหุ้น อันนี้เน้นว่าลงทุนนะครับ ไม่ใช่เล่นหุ้น จากสถิติตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.. 2518 จนถึงตอนนี้ 2554 อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ประมาณ 12% ต่อปี นั้นแสดงว่าถ้าเราลงทุนในหุ้น Blue Ship เช่น PTT, SCC, BBL อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล+capital gainะอยู่ที่ 12% ต่อปี ในที่นี้จะใช้แค่ 10% เพื่อคำนวณให้เห็นภาพง่ายขึ้น ตามกฎของดอกเบี้ยทบต้นบอกว่า ถ้าเราสามารถทำผลตอบแทนได้ 10% ต่อปีและนำผลตอบแทนที่ได้ใส่กลับเข้าไปลงทุนต่อ ทุกๆ 7 ปีเงินของเราจะกลายเป็น 2 เท่า เริ่มเข้าใจพลังของมันแล้วใช่ไหมครับ ทีนี้เราลงมาคำนวณกันดู

เงินลงทุน 1,000,000 บาท

ปีที่ 1 เงินต้น 1,000,000 บาท ผลตอบแทนสิ้นปี 10% = 100,000 บาท ใส่กลับเข้าไปในเงินต้น

ปีที่ 2 เงินต้น 1,100,000 บาท ผลตอบแทนสิ้นปี 10% = 110,000 บาท ใส่กลับเข้าไปในเงินต้น

ปีที่ 3 เงินต้น 1,210,000 บาท ผลตอบแทนสิ้นปี 10% = 121,000 บาท ใส่กลับเข้าไปในเงินต้น

ปีที่ 4 เงินต้น 1,331,000 บาท ผลตอบแทนสิ้นปี 10% = 133,100 บาท ใส่กลับเข้าไปในเงินต้น

ปีที่ 5 เงินต้น 1,464,100 บาท ผลตอบแทนสิ้นปี 10% = 146,410 บาท ใส่กลับเข้าไปในเงินต้น

ปีที่ 6 เงินต้น 1,610,510 บาท ผลตอบแทนสิ้นปี 10% = 161,051 บาท ใส่กลับเข้าไปในเงินต้น

ปีที่ 7 เงินต้น 1,771,561 บาท ผลตอบแทนสิ้นปี 10% = 177,156.1 บาท ใส่กลับเข้าไปในเงินต้น

สิ้นปีที่ 7 จะมีเงินเท่ากับ 1,948,717.10 บาท ก็ประมาณเกือบ 2 เท่า

เป็นไงครับ หลายท่านคงเข้าใจบ้างแล้ว แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าคุณจะสามารถทำได้สูงกว่า 10% หรือเปล่า ถ้าทำได้ ระยะเวลาของคุณก็จะสั้นลง จาก 7 ปี เป็น 5 ปี, 3 ปี หรืออาจแค่ปีเดียว แล้วแต่ความสามารถของคุณ แต่อย่าลืมนะครับ ถ้าระหว่างทางการลงทุนเราใส่เงินเข้าไปอีกหล่ะมันก็ต้องเพิ่มพูนขึ้นในอัตราเร่งถูกไหมครับ 5555 (จะเป็นยังไงหนอถ้าเงินต้นเราใส่ไปมากกว่า 1 ล้านบาทหล่ะ 10 ล้าน, 100 ล้าน อันนี้น่าคิด ขอกลับไปนอนฝันต่อดีกว่า ZZZ)

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จากเด็กแว๊นสู่มหาเศรษฐี 1,000 ล้าน ภายใน 5 ปี


เมื่อคืนวานนั่งดูรายการสุริวิภาทางช่อง 9 (26/8/54) สิ่งที่น่าสนใจให้ติดตามดูรายการนี้คือ แขกรับเชิญที่อายุเพียง 26 ปี เคยไปเด็กแว๊นมาก่อน และใช้เวลาเพียง 5 ปีสร้างธุรกิจของตัวเองระดับ 1,000 ล้านบาท แค่นี้ก็ทำให้ผมถึงกับหัวใจเต้นแรง เมื่อนึกสะท้อนกับตัวเอง ทำให้ตั้งใจดูรายการนี้จนจบ เพื่อที่จะดูว่าเขาทำได้อย่างไร อะไรคือ key of success ของเขา หนุ่มคนนี้ชื่อ แม่สาย ประภาสะวัต จากเด็กแว๊นข้างถนนที่มีชีวิตไปวันๆ พอเงินหมดก็ไปขอพ่อ ชีวิตวนเวียนอยู่แค่นั้น จนกระทั่งวันหนึ่งก็ถามคำถามกับตัวเองว่า “ชีวิตนี้เกิดมาทำได้แค่นะหรือ” แล้วเขาก็เปลี่ยนตนเอง สร้างเป้าหมาย เป้าหมายแรกของเขาคือ “รวย” โดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และจะทำได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆคืออยากรวย คำว่ารวยและเป้าหมายของเด็กแว๊นคนหนึ่งในตอนนั้นคือ 10 ล้านบาท เขาเริ่มศึกษาจากอ่าน หนังสือเล่มแรกที่เขาอ่านที่ผมและเพื่อน VI (value Investing) ทุกคนต้องรู้จักเป็นหนังสือของ วอเร็น บัฟเฟตต์ จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มหาโอกาสในการทำธุรกิจ โดยเริ่มจากการรับติดตั้งแก๊สรถยนต์ ซึ่งก่อนจะเริ่มลงทุนเขาก็ได้ไปศึกษาและเรียนรู้จนมีความชำนาญในการติดตั้งแก๊สรถยนต์ ถึงกล้าที่จะลงทุนโดยเงินเพียง 70,000 บาทกับพื้นที่เพียง 3x3 ตรม. หนึ่งปีผ่านไปมีเงินเก็บเป็นล้านบาท แล้วก็เริ่มขยับขยาย ผ่านไป 2 ปีก็ขยายไปยังต่างประเทศ และเริ่มธุรกิจเกี่ยวกับการทำจอ LED ตอนนี้มีพนักงานอยู่ 250 คน กับอายุเพียง 26 ปี เขาให้รางวัลกับตัวเองด้วยรถ สปอร์ตซูเปอร์คาร์ 3 คัน กับความภาคภูมิใจที่พ่อแม่มีต่อเขา


แล้วอะไรคือ key success และ เท่าที่ดูจากรายการพอสรุปประเด็นที่ทำให้คุณแม่สายประสบความสำเร็จได้มีดังนี้

1.            สร้างเป้าหมาย พอมีเป้าหมายแล้วสมองจะคิดหาวิธีการต่างๆ วันนี้ยังไม่รู้ พรุ่งนี้อาจจะรู้ แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายสมองจะไม่คิดต่อ

2.            ซื่อสัตย์ และมีคุณธรรม ในการสร้างธุรกิจ บางครั้งต้องย่อมขาดทุน เพื่อสร้างเครดิต

3.            ใช้คนเก่งทำงานแทนตัวเอง สร้างคนให้เขารู้ทุกอย่างที่เรารู้ สร้าง 10 คน เท่ากับมีตัวเรา 10 คน

4.            ให้รางวัลกับตัวเอง กับสิ่งที่ชอบ รถสปอร์ต บ้าน ฯลฯ

“แล้วตัวเราหล่ะมีเป้าหมายกับชีวิตนี้อย่างไร”
สงสัยงานนี้เราต้อง 2,000 ล้านแล้วหล่ะซิ จะได้ไม่น้อยหน้าคุณแม่สาย 5555 (ฝันให้ไกลไปให้ถึง)

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความลับของ…คนรวย

เคยได้ยินตั้งแต่เด็ก “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” ฟังแล้วอาจเป็นเรื่องปกติที่พูดคุยกันในวงสนทนาทั่วไป แต่ถ้ามองให้ลึกอีกสักหน่อยจะเห็นความเป็นจริงบางอย่างว่าทำไมคนส่วนใหญ่ยังคงวนเวียนอยู่กับวัฏจักรแห่งความยากจน แล้วทำไมคนส่วนน้อยนิดเพียงหยิบมือรวยเอาๆ สาเหตุที่พอจะคิดออกในตอนนี้ก็คือวิธีคิดที่แตกต่างกัน มุมมองในการใช้เงินที่หามาได้ต่างกัน คนจนมักจะนำเงินที่ได้มาจากการทำงานไปใช้จ่ายหาความสุข ความสะดวกให้กับชีวิตตนเอง แต่คนรวยจะนำเงินที่หามาได้ไป ลงทุน แล้วนำดอกผลที่ได้มาใช้จ่ายหาความสุขในชีวิต แค่คิดต่างกันผลลัพธ์ที่ได้ยิ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง (ลองคิดเล่นถ้าผมเป็น รมต.กระทรวงศึกษาฯ ขอย้ำคิดเล่นๆจริง) ผมจะขอลิขสิทธ์ หนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็กกับพ่อรวยสอนลูก : เงินสี่ด้าน มาพิมพ์เป็นหลักสูตรภาคบังคับให้กับนักเรียนทุกคนได้เรียน ดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประเทศของเราจะเจริญก้าวหน้าไปไกลขนาดไหน

กลับมาวิธีคิดของคนรวย (ขี่ม้าเลียบเมืองหลายรอบแล้ว คงต้องเข้าตีสักที) หัวใจสำคัญคือ “การให้เงินทำงานแทนเรา” ง่ายไหมหล่ะครับ แต่ยากสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในบล็อคนี้จะขอนำเสนอเฉพาะ เรื่องการลงทุนในหุ้น ซึ่งจริงๆแล้วการให้เงินทำงานแทนเรามีอีกหลายวิธี เช่น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของธุรกิจ แต่สำหรับผม ผมหลงเสน่ห์กับการลงทุนในหุ้น ทำไมนะเหรอ ง่ายๆครับ เพราะผมไม่มีเงินเป็นร้อยล้านพันล้านมาลงทุนสร้างกิจการนะซิครับ เวลากิจการที่ผมลงทุนมีปัญหาผมก็แค่ย้ายไปลงทุนในกิจการที่ดีกว่าไม่ต้องไปแบกรับปัญหา ผลตอบแทนที่ได้ก็สูงกว่าตลาดโดยเฉลี่ย (ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปีโดยเฉลี่ย) แค่นี้ก็ชนะเงินเฟ้อแล้ว อยากมีเงินใช้เท่าไหร่ก็กำหนดได้เอง สมมติ เราสะสมเงินได้ 1 ล้านบาทแล้วลงทุนกับหุ้นที่ดีมีอนาคตผ่านไปหนึ่งปีผลตอบแทนเราเท่ากับ 10% : 1,000,000 x 10% = 100,000 บาท เฉลี่ยเดือนละ 8,333.33 บาท อยากได้มากกว่านี้ก็ลองคำนวณดูนะครับ ลองคิดต่ออีกสักหน่อยถ้าเกิดเรามีความรู้มากขึ้นเราอาจทำได้มากกว่า 10% ผลตอบแทนก็จะสูงขึ้นตาม เป็นไงบ้างครับ เพื่อนเริ่มสนใจบ้างหรือยัง ว่าเราจะมีอิสรภาพได้อย่างไร เราจะเกษียณตัวเองได้อย่างไร ตอนต่อไปจะมาดูว่า “สิ่งมหรรศจรรย์อันดับ 8 ของโลกคืออะไร” มันจะเกี่ยวกับการลงทุนยังไงหนอ?????

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อย่าสิ้นศรัทธาในสิ่งที่ตนเองยึดมั่น

จั่วหัวประเดิมเขียนบล็อคครั้งแรก (เอาไว้ย้ำเตือนตัวเอง)
ผมเคยนั่งครุ่นคิดเป็นวันๆ (ไม่ได้บ้านะครับพี่น้อง) ว่าเราเองก็เป็นคนดีพอสมควร ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร มีแต่ความจริงใจ กตัญญูรู้คุณ รักษาศีลได้บ้างเป็นบางข้อ ชอบทำบุญ บริจาคเงินเล็กๆน้อยๆตามสมควร แล้วทำไมชีวิตนี้ยังยากจนข้นแค้นอยู่ แถมยังมีเรื่องเดือดร้อนใจจากคนอื่นเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
เคยทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ขยันเสียจนตัวเป็นเกลี่ยวหัวเป็นน๊อต ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา เสียสละในทุกเรื่อง ทำงานหนักกว่าคนอื่นในตำแหน่งเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับกับไม่คุ้มค่ากับการทุ่มเทที่ทำลงไป เงินทองไม่พอใช้ แถมค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้น
สมัยเรียนเคยอ่านหนังสืออย่างหนัก ไม่สนใจเพื่อนฝูงหรือคนรอบข้าง ไม่ไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ไม่ดูหนังฟังเพลง ขยัน จดบันทึกทุกอย่างที่อาจารย์สอน เข้าเรียนทุกครั้งไม่มีขาด แล้วทำไมผลสอบจึงไม่เป็นอย่างที่เราหวัง กับคนที่ที่เขาทำตรงกันข้ามกับเรา เขากลับได้ผลสอบที่พอๆกับเราหรือดีกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไม ความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหน


ผมว่าหลายๆคนก็คงมีชีวิตที่คล้ายกับผม เคยสงสัยไหมครับแล้วการที่จะประสบความสำเร็จจริงๆแล้วต้องทำอย่างไร จริงๆแล้วเคล็ดลับสู่ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย ความสุข ความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ดีเลิศสมบูรณ์แบบ หรือเกิดจากการทำงานอย่างหนัก ขยันหมั่นเพียรแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหนทางอื่นอีกที่เหนื่อยน้อยกว่าที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้
การทำงานหนัก ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์ อดทน (อึด) นับเป็นวิธีการกระทำกันโดยทั่วไป แต่บางครั้งการกระทำดังกล่าวก็บั่นทอนกำลังใจเราอยู่เป็นเนื่องๆ และก็หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเราก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปถึงไหน เช่นตอนนี้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร เมื่อ สองปีก่อน สามปีก่อน หรือเมื่อห้าปีที่แล้วเป็นยังไงตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน
บล็อคนี้จึงถูกเขียนขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดจากการอ่านหนังสือและประสบการณ์หางอึงของผม ถึงเคล็ดลับไปสู่ความมั่งคั้งด้วยการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และการมีสุขภาพที่ดี บนสมมุติฐานว่าให้เงินทำงานแทนเรา แล้วเราก็ไปใช้ชีวิตอิสระตามต้องการ 5555