วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ส่งแม่ขึ้นฟ้า

ผมเริ่มเขียนบรรทัดนี้ขณะนั่งทำงาน หลังจากส่งแม่ขึ้นฟ้าไปแล้ว 79 วัน ในวันที่แม่ไม่อาจจะหวนกลับมาได้อีก และคงไม่ได้เป็นแม่แม่ลูกกันอีกแล้วในชาตินี้ แต่ไม่เป็นไร ผมพูดทุกคำที่อยากพูดกับแม่ไปหมดแล้ว ทำทุกอย่างที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อแม่แล้ว เหลืออยู่ก็แค่ดำเนินชีวิตต่อไปเท่านั้น

คนเรารู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนเป็น ก็เพราะเคยเห็นรอยยิ้มของแม่ เคยได้อยู่ในมือแม่ เคยได้อยู่ในอ้อมอกแม่ สัมผัสอบอุ่นละไมของแม่ช่วยพรากเราออกจากฝันร้ายและเสียงร้องไห้ และทำให้เราโตขึ้นด้วยความเชื่อมั่นว่าจะวิ่งกลับไปหาฝันดีด้วยเสียงหัวเราะ ได้เสมอ

ช่วงแรกที่เริ่มรู้ความ ธรรมชาติไม่เปิดโอกาสให้เราจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับแม่ได้มากนัก เราต้องโตขึ้นอีกหน่อย ถึงตระหนักว่าแม่คือผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มเราเดินเล่น กลั่นน้ำนมให้เรากิน และให้กำเนิดเรามาลืมตาดูโลก

เมื่ออยู่กับแม่มาแต่เกิด คนเราอาจเฉื่อยชา หรือกระทั่งนึกคร้านกับการพยายามค้นหาความหมายของการมีแม่ สำหรับผมเองต้องรอเวลาผ่านไปสิบแปดปี ถึงค่อยซึ้งว่า แม่มีความหมายอย่างไร

วันแห่งการรู้ซึ้งคือวันที่ผมต้องจากอกท่านเพื่อมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยมีคุณพ่อคุณแม่พาไปส่งที่ท่ารถ และจากจุดส่ง พวกท่านเห็นได้ชัดว่าผมกำลังจะเดินหน้าเข้าหาเมืองใหญ่ ที่ไม่มีหลักประกันความปลอดภัยใดๆ ครั้งนั้นพอผมขึ้นรถทัวร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสมใจกับการได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ทั้งพ่อและแม่ก็พร้อมใจเหลียวมองด้วยสายตาห่วงใยรุนแรงอย่างที่ผมไม่เคยเห็น มาก่อน นั่นเป็นวาระแรกจริงๆที่ทำให้เข้าใจค่าของตัวเองว่ามีต่อพวกท่านเพียงใด ขณะเดียวกันก็ทำให้เข้าใจด้วยว่าพ่อแม่มีความหมายยิ่งกว่าคนที่เลี้ยงเราโต มาขนาดไหน

สายตาของแม่ที่รักเรานั้น สอนให้เรารักคนเป็น ห่วงใยคนเป็น แม่ผมมีลูกสองคน รักลูกทุกคน ห่วงลูกทุกคน นั่นคงต้องแปลว่าลูกทุกคนมีบุญพอ จึงมาอาศัยท้องแม่เกิดได้ เพราะแม่เป็นแม่ ทั้งชีวิตผมกับน้องจึงไม่กลับกลอกเป็นคนมีความฝังใจเลวร้าย ตรงข้าม จุดแห่งความอ่อนโยนในหัวใจจะคงอยู่ตลอดไป เพียงระลึกแล้วรู้ตัวว่ามีแม่ และแม่เราก็แสนดีเหมือนนางฟ้า

น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงความเข้มแข็งน่ารักของแม่ผมไม่เหมือนใคร แค่คุณได้ยินครั้งแรกก็จะจำได้และรู้ว่าเป็นท่าน ผมมาเรียนรู้ว่าตัวเองรักและอยากฟังน้ำเสียงของแม่เพียงใด ก็เมื่อท่านหลับใหลอย่างไรสติมาตั้งแต่เย็นวันที่ 24 พ.ค. 55

สิ่งหนึ่งที่ผมคาดว่าจะต้องเกิดขึ้น แล้วก็ได้เกิดขึ้นในที่สุด คือการมาอยู่ใกล้แม่ในช่วงสุดท้าย ไม่มีอะไรน่าเสียใจ เพราะก่อนไปท่านหมดห่วงทุกอย่างแล้ว

ระหว่างช่วงสุดท้ายของแม่ตลอด 7 เดือน มีเวลาให้ครอบครัวเราบังเกิดปีติอย่างใหญ่หลายครั้ง ดังเช่นที่แม่เอาชนะความเจ็บปวดทางกาย หันมาระบายยิ้มหวานด้วยใจที่พร้อมสละความเคยชินเดิมๆ สละความอาลัยในตัวตนเก่าๆ ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาจิตให้เป็นกุศลอย่างต่อเนื่อง นั่นคือสัญญาณบอกอย่างดี ว่าแม่จะสู้กับโรคร้ายโดยไม่ระย่อท้อ และแม่จะเอารางวัลใหญ่คือมหากุศลจิตในวาระแห่งการลาจากโลกนี้ไป

ตลอดระยะเวลาที่แม่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ทำให้ครอบครัวเราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น มากกว่าการพูดคุยทางโทรศัพท์  การได้เช็ดตัวท่าน ประคองท่านเข้าห้องน้ำ นอนอยู่ข้างๆท่าน การได้เห็นแม่พยายามจะมีชีวิตอยู่ทุกขณะลมหายใจ เป็นความบิติอย่างใหญ่หลวง

วันที่นับว่าน่าปลาบปลื้มไม่มีอะไรเกิน เช้าวันหนึ่งช่วงต้นเดือน ม.ค. 55 แม่บอกว่าแม่เห็นเทวดามาโปรดที่ห้อง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออย่างมีความหวัง หลังจากทนถูกโรคร้ายทำทารุณมาระยะหนึ่ง แม่พยายามตั้งสติและมีกำลังใจข่มความเจ็บปวด และแม่มักจะพูดเสมอว่าไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ลูกกลับทำงานเถอะ แม่ไม่ตายหรอก

ดีแล้วที่มะเร็งเปิดโอกาสให้เราเห็นใจและสั่งเสียกันนานหลายเดือน แม่ได้รู้ในช่วงสุดท้ายว่าค่าของท่านมีต่อพวกเรามากมายปานใด ก็ด้วยความจริงที่ทุกคนในครอบครัวพร้อมใจ พร้อมหน้าพร้อมตามาอยู่กับแม่ มาร่วมส่งแม่ขึ้นฟ้าจนวันสุดท้าย

วันแม่กำลังจะมาถึง แต่บางคนอาจยังไม่ถึงเวลาเข้าใจความหมายของการมีแม่ ขณะที่หลายคนน่าจะผ่านเวลานั้นมาแล้ว ซึ่งก็คงเห็นตรงกัน ว่าคนเราจะรู้ค่าของชีวิตตัวเองไม่ได้ ถ้ายังไม่รู้ค่าของผู้ให้กำเนิดชีวิตเราดีพอ

ตาแล แม่เรา ป่วยไข้
ด้วยใจ อยากป่วย แทนท่าน
ฝากฟ้า ดูแล แทนกัน
ในวัน แม่ข้า ลาดิน… อาลัยสุดซึ้ง


ขอขอบคุณ ข้อความบางประโยคและบทกลอน ของคุณดังตฤณ
๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕